กันยายน เดือนแห่งความระทึกใจ # 37-06

กันยายน เดือนแห่งความระทึกใจ
ห้าปีหลังจากการระเบิดตึกศูนย์การค้าในมหานครนิวยอร์ค พวกเราคนไทยก็ต้องตื่นเต้นระทึกใจไปกับเรื่องรัฐประหารเมื่อช่วงต่อของเวลาระหว่างวันที่ 19 และ 20 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืนอันดึกสงัดของชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง
และนับจากบัดนี้เป็นต้นไป เมื่อใกล้จะถึงเดือนกันยายนทุก ๆ ปี หลายคนในบรรดาเราท่านทั้งหลายก็อาจต้องแขม่วท้องและคอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีอะไรที่จะต้องตื่นเต้นระทึกใจกันอีกบ้างหรือเปล่า ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะได้มีเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นตกใจมาอุบัติขึ้นในเดีอนเดียวกันถึงสองเรื่องเข้าไปแล้ว จะมีเรื่องที่สาม ที่สี่ พากันสุมตัวเข้าอยู่ในเดือนกันยายน อีกหรือไม่?
รัฐประหารครั้งนี้จะยังผลอะไรให้แก่ประเทศชาติไทยของเราต่อไปในวันหน้านั้น ปล่อยให้เป็นเรื่องของนักวิชาการด้านเศรษฐกิจการเมือง ตลอดจนทั้งบรรดาโหราจารย์ทั้งหลายเขาวิเคราะห์ให้เราฟังต่อไปดีกว่า แต่แน่ละ สำหรับปุถุชนอย่างเราท่านทั่วไป ก็คงจะมีจำนวนมากที่ลิงโลดใจ สะใจ หนำใจ และอาจถึงกับชะล่าใจไปเลยฝ่ายหนึ่ง และเป็นธรรมะ ดอ ดา ที่อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นพวกที่เคียดแค้น ผิดหวัง และถ้าแม้นว่ามีโอกาสที่จะมีการแสดงออก หรือสามารถกระทำการโต้ตอบในทางหนึ่งทางใดได้ถ้าไม่ติดคุกติดตะรางก็ฮึ่ม…..
ทุกวันนี้ ไม่ว่าในสหรัฐ ฯ หรือเมืองไทยบ้านเรา บรรดาไพร่ฟ้าประชาชีทั้งหลายล้วนแต่แบ่งพรรคแบ่งพรรคเชียร์นักการเมืองหรือพรรคการเมืองเสมือนประหนึ่งเป็นแฟนทีมฟุตบอลล์ หรือทีมกีฬาสี ทีมใครทีมมัน เรื่องอื่น ๆ ไม่สำคัญ บางคนหันไปสนับสนุนฝ่ายแดงก็เพียงเพราะรักชอบหรือเลื่อมใสหัวหน้าฝ่ายแดงเป็นส่วนบุคคล หรือเพียงแต่หมั่นไส้วงศ์วานว่านเครือของฝ่ายน้ำเงินที่ทำตัวเป็นผู้ที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เท่านั้นเอง
ทางด้านการเมืองของประเทศนั้น ก็เห็นเป็นเรื่องทำนองเดียวกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนักการเมืองผู้เสนอตัวให้ประชาชนเลือกตั้งเขาขึ้นไปนั้นก็ล้วนแต่มีอุดมการณ์ประเภทลม ๆ แล้ง ๆ ไม่มีอีกแล้วที่มีอุดมการณ์หรืออุดมคติจริงจัง ประเภทที่จะมุ่งมีการกระทำเพื่อ “ระงับทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ปวงประชาชาติ”
ขึ้นชื่อว่าอุดมการณ์หรืออุดมคตินั้น เป็นธรรมดาที่จะถูกต้องหรือเหมาะสมแก่กาลเวลาหรือแม้แต่สภาพของแต่ละประเทศหรือหาไม่ก็ตาม จะผิดหรือถูกนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผู้นำที่มีอุดมการณ์ของเขา อย่าง ฮิตเลอร์ หรือ สตาลิน หรือ เมา ซี ตุง หรือ ฟิเดล คาสโตร ซึ่งรายหลังนี้ได้ขึ้นเป็นผู้นำของประเทศคิวบาตั้งแต่ปี 1976 และก็ยังเป็นอยู่ได้จนถึงวันนี้ หรือแม้แต่อย่างนาย หลิว กวน ยู ของสิงค์โปร์ ซึ่งเมื่อเขาไม่โกง ไม่กินซะอย่าง เขาก็ยังสามารถกินนอนอยู่ในบ้านเมืองของเขาเองได้อย่างสบายใจเฉิบ
รัฐประหารในประเทศไทยของเราครั้งนี้ ใครจะได้อะไร ใครจะเสียอะไรก็ย่อมเป็นไปตามดวง แต่สำหรับผู้เขียนนั้นอดเสียดายไม่ได้ที่ประวัติศาสตร์มีให้เห็นอยู่ทนโท่ ว่าถ้าหลักฐานมียืนยันในที่สุดว่าเป็นเรื่องทุจริตต่อชาติบ้านเมืองก็ย่อมไปไม่รอด ตัวเองลงท้ายก็ต้องตกทุกข์ได้ยาก ไม่ต้องพูดไปถึงการเสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลทั้ง ๆ ที่ชื่อก็งาม นามก็เพราะ แต่กลับไปทำให้ลูกหลานต้องพลอยอับอายขายหน้าแทบอยากจะแทรกแผ่นดิน ฯลฯ ไม่มีวันที่จะได้ผุดได้เกิดไปตลอดชั่วชีวิตของพวกเขากันเลยทีเดียว

ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข

No comments:

Post a Comment